นายมโนสิทธิ์ แจ้งจบ ประธานอนุกรรมการที่พักแรมขนาดเล็ก สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า ภายหลังกระทรวงมหาดไทยได้ปรับปรุงกฎกระทรวงฯ เพิ่มเติมออกเป็นกฎกระทรวงกำหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 2566 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 66 ที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญได้ขยายระยะเวลาของกฎกระทรวงจากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 18 ส.ค. 67 ไปสิ้นสุด 18 ส.ค. 68 เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก มีที่มีเวลาในการแก้ไขดัดแปลงอาคารที่ก่อสร้างไว้แล้วให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ทัน
“โรงแรมขนาดเล็กทั้ง 50,000 แห่ง สามารถยื่นขอใบอนุญาตได้ แต่ต้องเปลี่ยนประตูลามไฟ-ไม่ลามไฟ เพิ่มถังดับเพลิง แบบต้องทำใหม่ทั้งหมด และต้องไปขอใบอนุญาตเปลี่ยนแปลงการใช้อาคารหรือแบบ อ.4 โดยมีเงื่อนไขว่าต้องยื่นขอใบอนุญาตภายใน 2 ปี และต้องเป็นโรงแรมเก่าที่ก่อสร้างก่อนปี 2559 ส่วนอาคารใหม่ต้องสร้างตามกฏหมายใหม่”
ขณะเดียวกัน กฎกระทรวงฯ ฉบับที่ 4 ยังได้ปลดล็อกส่วนที่เคยเป็นอุปสรรคอื่นๆ ด้วย โดยมีการผ่อนผันให้อาคารที่มีอยู่ก่อนวันที่ 19 ส.ค. 2559 ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับที่ว่างของอาคาร ช่องทางเดินในอาคาร ความกว้างของบันได ระยะถอยร่นแนวอาคาร ระยะดิ่งของอาคาร และที่จอดรถ เป็นต้น แต่อาคารที่จะเปลี่ยนการใช้ไปเป็นโรงแรมที่พักดังกล่าว ต้องมีความมั่นคงแข็งแรงและมีระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัยและด้านอื่นๆ เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด
นอกจากนี่ยังมีร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทและกฎเกณฑ์โรงแรม พ.ศ. …คำพูดจาก สล็อต789. เพิ่มเติม กฎกระทรวงกำหนดประเภทและกฎเกณฑ์โรงแรม พ.ศ. 2551 อีกหนึ่งฉบับ โดยเพิ่มห้องพักไม่เกิน 30 ห้อง แต่ไม่รวมที่พักแรมที่เป็นเต็นท์ บ้านต้นไม้ ข้อกำหนดแสงสว่างทางเดิน เนื่องจากทางปกครองไม่รู้สเปก จึงได้มอบอำนาจกรมโยธาธิการไปออกสเปกที่พักแรมประเภท บ้านต้นไม้ เต็นท์ อาคารประเภทอื่น เพิ่มเติมอีกฉบับ คือ ร่างกฎกระทรวง กำหนดลักษณะและระบบความปลอดภัยอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม สำหรับห้องพักไม่เกิน 8 ห้อง 30 คน และไม่กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการยื่นใบอนุญาตสามารถใช้ได้ตลอดคำพูดจาก เว็บตรง true wallet
“ซึ่งที่ผ่านมา ท้องถิ่นมีการผ่อนปรนมาโดยตลอด เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเหล่านี้จึงได้ออกกฎหมายใหม่ขึ้นมา ซึ่งถือว่าเป็นการทำคลอดครั้งใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมาโรงแรมขนาดเล็กประสบกับปัญหาฝ้าพัง อะไรพัง จะพักอย่างไร คราวที่แล้ว สมมุติแห่งหนึ่งมี 10 กว่าห้อง แต่เปิดได้ 3 ห้อง กัดฟันนำเงินในกระเป๋าเพื่อซ่อมเท่าที่ไหว ทำให้ช่วงที่นักท่องเที่ยวเข้าช่วงแรกหลังเปิดประเทศ ไม่สามารถรองรับได้เท่าที่ควร เปรียบเสมือนแขกมาเหมือนน้ำไหลออก แต่เราไม่มีตุ่มที่จะกักไว้ได้”
สำหรับปลดล็อกกฎหมายโรงแรมขนาดเล็ก จะทำให้ที่พักแรมกว่า 50,000 แห่ง ห้องพักรวมกว่า 2 ล้านห้อง สามารถเข้าสู่ระบบอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งนำไปสู่การได้มาตรฐาน การพัฒนาเรื่องความปลอดภัย การต้อนรับนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย การสร้างรายได้ให้กับประเทศ และการสร้างงานไม่ต่ำกว่า 500,000 ตำแหน่ง และการจ่ายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก
“ในการขอใบอนุญาต จะมีสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) มาช่วยให้ที่ปรึกษา ในการออกแบบและค่าใช้จ่าย 80% และผู้ประกอบการออกค่าใช้จ่าย 20% ซึ่งตอนนี้กำลังทำแบบให้รายย่อยอยู่ ส่วนแหล่งทุนที่จะรีโนเวทห้องพัก จากการเข้าพบกระทรวงการคลังเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ข้อสรุปว่า สามารถนำใบที่อยู่ระหว่างการซ่อมอาคารยื่นเพื่อกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ในอัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นผู้ค้ำประกัน และหลังจากได้รับอนุญาตให้นำใบ อ.4 ไปยื่นกับผู้ว่าจังหวัดภูเก็ตและโยธาธิการจังหวัด”
นายมโนสิทธิ์ กล่าวว่า แม้จะขยายระยะเวลาการยื่นขออนุญาตปรับปรุงแก้ไขอาคารออกไปอีกสองปี ตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 2566 แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีจำกัด ทำให้สามารถตรวจสอบอาคารได้เพียง 8-10 โรงแรมต่อสัปดาห์เท่านั้น โดย 1 ปี จะสามารถตรวจสอบได้เพียง 100 โรงแรม ทั้งโรงแรมขนาดเล็กเฉพาะในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ที่ปัจจุบันเหลือ 4,600 แห่ง จาก 10,000 แห่ง หากสามารถตรวจสอบได้เพียงปีละ 100 แห่ง อาจต้องใช้เวลา 40 ปี จึงจะได้ครบทั้งหมด ซึ่งเป็นข้อจำกัดของหน่วยงานราชการ ไม่ใช่ความไม่พร้อมของผู้ประกอบการ”