ปรีวิวฟุตบอลพรีเมียร์ลีก คู่ซูเปอร์บิ๊กแมตช์ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบ ลิเวอร์พูล
ปรีวิว ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก
วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566
(1) แมนเชสเตอร์ ซิตี้พบ ลิเวอร์พูล (2)
สนาม : เอติฮัต สเตเดี้ยม เวลาคิกออฟ : 19.30 น.
ผู้ตัดสิน : คริส คาวานาจห์ ผู้ตัดสิน VAR : สจ๊วร์ต แอตเวลล์
ผลงานการพบกันในฤดูกาลนี้
1 เม.ย.2566 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-1 ลิเวอร์พูล (พรีเมียร์ลีก)
23 ธ.ค.2565 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-2 ลิเวอร์พูล (คาราบาว คัพ)
16 ต.ค. 2565 ลิเวอร์พูล 1-0 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก)
30 ก.ค.2565 ลิเวอร์พูล 3-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (คอมมิวนิตี้ ชิลด์)
แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ผลงาน 5 นัดหลังสุด
12 พ.ย.2566 เสมอ เชลซี 4-4 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
7 พ.ย.2566 ชนะ ยัง บอยส์ 3-0 (เหย้า) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
4 พ.ย.2566 ชนะ บอร์นมัธ 6-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
29 ต.ค.2566 ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-0 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
25 ต.ค.2566 ชนะ ยัง บอยส์ 3-1 (เยือน) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
สภาพทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้
เป๊ป กวาดิโอล่า พาทีมบุกไปเสมอ เชลซี 4-4 ในเกมพรีเมียร์ลีก ล่าสุดก่อนพักเบรกทีมชาติ ทำให้รั้งจ่าฝูงเวลานี้ โดยเตะไป 12 นัด มี 28 แต้ม เกมนี้ต้องรอประเมิน นาธาน อเก้ และ เซร์คิโอ โกเมซ ว่าจะฟิตพอสำหรับเกมนี้หรือไม่ หลังมีอาการเจ็บติดอยู่เล็กน้อย ส่วน เควิน เดอ บรอยน์ ,มาเตโอ โควาซิซ, จอห์น สโตน และ มาเธอุส นูเนส ทั้งหมดยังไม่พร้อมสำหรับเกมนี้ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ แม้เจ็บข้อเท้าจากเกมไปเล่นให้ทีมชาตินอร์เวย์ แต่จะฟิตทันพร้อมลงล่าตาข่าย แต่ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ที่กลับมาจากการเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนติน่า ในบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก น่าจะยังล้า เต็มที่คงนั่งสำรองก่อนเท่านั้นขณะที่ ฟิล โฟเด้น,เฌเรมี่ โดกู และแจ็ค กรีลิช จะเป็นตัวโจมตีเกมรับของลิเวอร์พูล ในแดนบน
ผู้เล่น 11 คนแรกที่คาดว่าจะลงสนาม
แมนฯ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน โมราเอส – ไคล์ วอล์คเกอร์, มานูเอล อคานยี่, รูเบน ดิอาส, ยอชโก้ กวาร์ดิโอล – โรดรี้ เอร์นานเดซ, แบร์นาร์โด้ ซิลวา, ฟิล โฟเด้น – เฌเรมี่ โดกู, เออร์ลิ่ง ฮาลันด์, แจ็ค กรีลิช
ลิเวอร์พูล
ผลงาน 5 นัดหลังสุด
12 พ.ย.2566 ชนะ เบรนท์ฟอร์ด 3-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
9 พ.ย.2566 แพ้ ตูลูส 2-3 (เยือน) ยูโรป้า ลีก
5 พ.ย.2566 เสมอ ลูตัน ทาวน์ 1-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
1 พ.ย.2566 ชนะ บอร์นมัธ 2-1 (เยือน) คาราบาว คัพ
29 ต.ค.2566 ชนะ ฟอเรสต์ 3-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
สภาพทีมลิเวอร์พูล
เจอร์เก้น คล็อปป์ เกมล่าสุดก่อนพักเบรกโปรแกรมทีมชาติ เปิดแอนฟิลด์ ถล่ม เบรนท์ฟอร์ด 3-0 ทำให้เวลานี้อยู่ในอันดับ 2 มี 27 แต้มจาก 12 นัด ตามหลัง ซิตี้ ที่รั้งจ่าฝูงแค่แต้มเดียวเท่านั้นเกมนี้จะได้รับข่าวตี เมื่อ แดนกลางจะได้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ พ้นโทษแบน แต่ก็ต้องดูว่าจะมีอาการล้าหรือไม่ หลังเดินทางไปเล่นให้ทีมชาติที่อเมริกาใต้ เช่นเดียวกับ หลุยส์ ดิอาซ, อลีสซง เบ็คเกอร์ และ ดาร์วิน นูเนซ ขณะที่ 4 นักเตะตัวหลักอย่าง ไรอัน กราเฟนแบร์ค, อิบราฮิม่า โกนาเต้, เคอร์ติส โจนส์ และ โจ โกเมซ ต่างฟิตสมบูรณ์ พร้อมกลับมาช่วยทีมเป็นที่แน่นอนแล้ว หลังทั้งหมดพลาดช่วยทีมเกมลีกนัดล่าสุด แต่ ติอาโก้ อัลกันทารา (สะโพก), สเตฟาน บายเชติช (น่อง) และแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน (ไหล่) ทั้งหมดจะยังพักยาว แต่เกมรุกยังฝากความหวังไว้ที่ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ที่ทำประตูที่ 200 ในฟุตบอลลีกอังกฤษไปแล้ว โดยเกมนี้ลุ้นทำประตูที่ 150 ในพรีเมียร์ลีก
ผู้เล่น 11 คนแรกที่คาดว่าจะลงสนาม
ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลีสซง เบ็คเกอร์ – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌเอล มาติป, เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, คอสตาส ซิมิกาส – โดมินิค โซบอสไล, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, ไรอัน กราเฟนแบร์ก – โมฮาเหม็ด ซาล่าห์, ดีโอโก้ โชต้า, โคดี้ กัคโป
ความน่าจะเป็นของเกม
เกมคู่นี้ทั้งสองทีมเจอปัญหาในการที่แข้งของตัวเองเดินทางไปเล่นทีมชาติ และยังเป็นคำถามในเรื่องของความฟิตเมื่อกลับมาลงดวลเกมบิ๊กแมตช์ในนัดนี้ หากดูสถิติแล้ว ยังไม่มีทีมใดในพรีเมียร์ลีก ที่มายัดเยียดความปราชัยให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ เอติฮัต สเตเดี้ยม ในปี 2023 และหากเมื่อเทียบศักยภาพ สปีดบอล สมดุลย์ของทีม ก็ดูเหมือนว่าเจ้าถิ่นจะเหนือกว่า โดยเฉพาะเกมตรงกลาง ที่มี โรดรี้ เอร์นานเดซ กับ แบร์นาร์โด้ ซิลวา เป็นตัวปรับสมดุลย์ ที่จะเป็นตัวชี้วัดของเกม และเชื่อว่าจบ 90 นาที โอกาสที่ลูกทีมของ เป๊ป กวาดิโอล่า จะหยิบ 3 แต้ม มีเปอร์เซนต์มากกว่าแน่นอน
สกอร์ที่คาด
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะ 2-0
เกร็ดน่าสนใจก่อนเกม
– พบกันมาแล้วในพรีเมียร์ลีก 52 ครั้ง แมนฯ ซิตี้ ชนะ 12 ครั้ง ลิเวอร์พูลชนะ 21 ครั้ง เสมอ 19 ครั้ง
-แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แพ้แค่นัดเดียวจาก 14 เกมเหย้าหลังสุดในพรีเมียร์ลีกที่พบลิเวอร์พูล โดยในจำนวนนี้เป็นการชนะ 8 นัด
-หากแมนฯ ซิตี้ สามารถชนะลิเวอร์พูลได้ในเกมนี้ จะเป็นการชนะในบ้านเป็นนัดที่ 24 ติดต่อกัน ( 23 นัดก่อนหน้า พรีเมียร์ลีก 15 นัด, แชมเปี้ยนส์ ลีก 5 นัด และ เอฟเอ คัพ 3 นัด) ซึ่งจะเป็นสถิติสูงสุดของลีกเทียบเท่าสถิติเดิมของ ซันเดอร์แลนด์ ที่ทำเอาด้วยการชนะระหว่างธันวาคม 1891 ถึงเมษายน 1892 หรือเมื่อ 131 ปีที่แล้ว
-ลิเวอร์พูลชนะเพียงเกมเดียวจาก 14 เกมเยือนพรีเมียร์ลีกที่มาดวลกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (เสมอ 5 แพ้ 8) ซึ่งชัยชนะนัดดังกล่าวนั่นเป็นชัยชนะ 4-1 ในการมาเยือนเอติฮัด สเตเดี้ยม และเป็นครั้งแรกของเจอร์เก้น คล็อปป์ ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2015
-ลิเวอร์พูลแพ้เพียงเกมเดียวจาก 23 เกมลีกหลังสุด (ชนะ 15 เสมอ 7) แต่ 3 เกมหลังสุดในลีกไม่ชนะเลย พร้อมกับ 7 นัดติดต่อในลีกมาแล้วที่เก็บคลีนชีตไม่ได้
-เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ทำไป 49 ประตูจาก 47 นัดในพรีเมียร์ลีกให้กับซิตี้ หากมีประตูในวันเสาร์หมายถึงการทำลายสถิติยิงใเร็วที่สุดถึง 50 (แอนดี้ โคล ทำไว้ – 65 เกม) อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลเป็น 1 ใน 2 ทีมที่ ฮาลันด์ เผชิญหน้าและยังไม่สามารถทำประตูในเกมลีกได้ ร่วมกับเบรนท์ฟอร์ด อีกทีม
-โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ทำประตูได้ทั้ง 4 เกมที่หงส์แดงพบซิตี้ในฤดูกาลที่แล้ว – ชัยชนะคอมมูนิตี้ชิลด์ 2-1, ชัยชนะ 1-0 ที่แอนฟิลด์ในพรีเมียร์ลีก และเกมคาราบาว คัพ 3-2 ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม และเกมบุกไปแพ้ แมนฯ ซิตี้ 1-4
-โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ หากเกมนี้ทำประตูจะเป็นการทำประตูที่ 150 ในพรีเมียร์ลีก